ประวัติความเป็นมาของเกาะสีชัง
เกาะสีชังเป็นเกาะขนาดเล็กที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกาะหนึ่งของประเทศไทยเนื่องจากเคยเป็นสถานที่เสด็จประพาสและเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินของกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 พระองค์ คือ
1.พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
2.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
3.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
นามเกาะสีชัง
คำว่าสีชัง มีที่มาตามข้อสันนิษฐานต่างๆดังนี้ นิทานความเชื่อ
2.เรื่องตาหมื่น ยาวท้าว : เดิมบนเกาะนี้มีฤๅษีตนหนึ่งจำศีลอยู่ ต่อมามีชาวกรุงชื่อ
ตาหมื่นกับยายท้าว เป็นชู้กัน จึงถูกคุกราชทัณฑ์ใส่แพลอยมาจากกรุงศรีอยุธยา
แพมาติดที่เกาะนี้ คนทั้งสองจึงขึ้นมาอาศัยอยู่บนเกาะ
ฤๅษีซึ่งไม่ชอบทางโลกีย์จึงออกไปจากเกาะ เหตุที่ฤๅษีชังการโลกีย์นี้เอง
เกาะสีชังจึงได้ชื่อว่า “ฤๅษีชัง” ภายหลังคำว่า “ฤา” หายไปเหลือแต่
“ษีชัง” ต่อมา
ษ กลายเป็น ส จึงเป็นสีชัง
3. ตาสี กับ ยายชัง : แต่เดิมบนเกาะนี้ยังมีผัวเมียคู่หนึ่งชื่อ
ตาสี กับ ยายชัง ตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่บนเกาะ เกาะจึงได้ชื่อตามผัวเมียคู่นี้
คือ เกาะสีชัง แต่ต่อมาดินฟ้าไม่อำนวย ผัวเมียคู่นี้จึงย้ายไปอยู่ที่ศรีราชา
คำศัพท์
1.คำจีน : แต่เดิมเกาะนี้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า
มีชาวจีน ๔ คน แล่นเรือจากประเทศจีนเข้ามา ทำมาหากินในประเทศไทย
ครั้นมาถึงเกาะนี้ได้แวะพักอาศัย เห็นเป็นทำเลเหมาะแก่การเพาะปลูกก็เลยขึ้นทำการเพาะปลูกอยู่บนเกาะ
ชาวจีนทั้ง ๔ คน ขนามนามเกาะนี้ว่าเป็น “ซีชั่น” ซึ่งแปลว่า
สหาย ๔ คน คนไทยได้ยินคำว่า “ซีชั่น” ก็รู้สึกว่าพูดยากจึงออกเสียงเป็น “สีชัง”
2.คำบาลี : สีชัง
เลือนมาจากคำภาษาบาลีว่า “สีห์ชังฆ์” แปลว่า “แข้งสิงห์” เนื่องจากรูปของเกาะนี้ มองแต่ไกลคล้ายสิงห์หมอบ
3.คำโบราณ : แต่เดิมนามเกาะสีชัง
มีชื่อปรากฏในคำสรวลศรีปราชญ์(ผู้ประพันธ์คือ
ศรีปราชญ์ซึ่งเกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) บทหนึ่ง ซึ่งแต่งไว้ราวปี พ.ศ.
๒๒๓๕ เรียก เกาะสีชังว่า เกาะสระชงง เข้าใจว่าต่อมาการออกเสียงอาจเพี้ยนไปเป็นสีชัง
แผนผังการปกครอง
1.เรื่องตาม่องลาย : เจ้าพ่อหอมสิงห์ไปขอหมั้นนางมัดตอง ลูกสาวตาม่องลาย ด้วยเงิน ๔ ชั่ง และเงิน ๔ ชั่ง นั้นกลายเป็นเกาะ เรียกว่าเกาะสี่ชั่ง ภายหลังเลือนเป็น สีชัง เกาะสีชังช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เกาะสีชังในช่วงนี้มีความสำคัญ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินเรือสินค้าชายฝั่งทะเลตะวันออก อันเชื่อมโยงการค้าสำเภาในทะเลจีนใต้กับเมืองต่างๆในภาคกลางของราชอาณาจักรสยาม โดยเป็นที่พักเรือสินค้าและเรือโดยสารทั้งหลาย ที่ผ่านมาแถบนี้ จนแม้นักเดินเรือชาวตะวันตกก็ยังรู้จักเกาะสีชังดี ในนาม เกาะดัทช์ เพราะพ่อค้าชาวดัทช์ของบริษัท ดัทช์ อีสท์ อินดีส์ ( Dutch East Indies ) นิยมใช้เกาะสีชังเป็นที่พักเรือ ในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( ร.๒ ) ในปีพ.ศ. ๒๓๖๕ นายจอห์น ครอเฟิร์ด (John Crawfurd ) ราชทูตอังกฤษ และคณะได้มาสำรวจ และบันทึกสภาพภูมิประเทศ พันธ์พืช สัตว์ ธรณีสัณฐาน ตลอดจนชุมนของเกาะสีชัง ซึ่งพบว่า ชุมชนบนเกาะสีชังเป็นชุมชนขนาดเล็ก มีแหล่งน้ำจืดจำกัด ทำไร่( พริก คราม ข้าวโพด มัน มันฝรั่ง แตงกวา กล้วย ) และจับปลา สำหรับขายให้แก่เรือสินค้าที่ผ่านไปมาระหว่างกรุงเทพฯกับจันทบุรี มีวัฒนธรรมผสมผสาน ส่วนที่เกาะขาม พบหมู่บ้านชาวประมง ประมาณ ๑๐-๑๒ หลังคาเรือน มีการปลูกข้าวโพด แตงกวา เต้า และกล้วย |
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธทรงประชวร พระอาการหนักมาก รัชกาลที่
๕ จึงเสด็จแปรพระราชฐานนำมาประทับรักษาพระองค์ที่เกาะสีชังและให้รับหมอหลวง
หมอเชลยศักดิ์ ออกมาตรวจอาการหลายสิบคน ก็ไม่สามารถรักษาได้ ต่อมาหลวงกุมารเพ็ช
สามารถรักษาพระอาการจนพระอาการค่อยคลายขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน น้ำหนักขึ้น
ครึ่งปอนด์ ในขณะที่ประทับที่เกาะ
สีชังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาสมุทบุรานุรักษ์
เจ้าเมืองสมุทรปราการเป็นแม่กองขุดบ่อใหญ่สำหรับกักเก็บน้ำฝนให้ราษฎรใช้สอยบ่อหนึ่ง
พระราชทานนามว่า “บ่ออัษฎางค์” ทรงประทับเพื่อรักษาพระอาการพระโอรสอยู่เป็นเวลา ๒ เดือนกับ ๒ วัน
จึงมีพระราชดำริจะเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนครแม้หลวงเทวะวงษ์วโรประการ
ได้ทูลห้ามปรามให้ประทับอยู่อีกหน่อยเพื่อให้พระโรคนั้นดีขึ้นกว่านี้
แต่พระองค์มิได้ฟังคำทัดทานเพราะทรงห่วงภารกิจ
จึงเสด็จกลับไปประทับที่วังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ใกล้สระประทุม
แต่ประทับอยู่เพียง ๒ คืน พระอาการก็ทรุดลง เพราะอากาศร้อนมาก (
ร้อนกว่าที่เกาะสีชัง ๑๐ องศาฟาเรนไฮ
กลางคืนและกลางวันอุณหภูมิที่เกาะสีชังต่างกันเพียง ๓ องศาฟาเรนไฮ ) น้ำหนักลดลง ๔
ปอนด์ ต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่เกาะสีชังอีกครั้ง
เมื่อประทับอยู่ที่เกาะสีชังเพียง ๕ ราตรี น้ำหนักคืนมา หนึ่งปอนด์
เมื่อพระอาการของเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธบรรเทาลง พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสในที่ต่างๆ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ
และตกแต่งสถานที่หลายแห่งบนเกาะเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรและผู้ที่สัญจรไปมายังเกาะนี้
และเพื่อเป็นอนุสรณ์ที่เจ้าฟ้าอัษฎางค์ทรงมารักษาพระองค์จนหายที่เกาะสีชัง
อันได้แก่ สะพานอัษฎางค์ ศาลศรีชโลธรเทพ อัษฎางค์ประภาคาร เสาธงอัษฎางค์
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตัดถนนต่างๆ เช่น ถนนอัษฎางค์ ถนนวัฒนา ถนนเสาวภา
ถนนวชิราวุธเป็นต้น รวมทั้งสร้างวะนะ คือ อุทยานขนาดใหญ่ขึ้นที่ไร่บน
พระราชทานนามว่า อัษฎางคะวัน
โดยให้หาต้นไม้ทนแล้งจากพระนครส่งออกไปปลูกในอัษฎางคะวันและบริเวณพระราชฐานเป็นจำนวนมาก
ในการนี้โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงษ์
กรมพระภาณุพันธุวงษ์วรเดช เป็นแม่กองในการสร้างสถานที่ต่างๆ ทั้งยังทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการเปิดฉลองสถานที่ต่างๆเป็นการรื่นเริง
และพระราชทานสิ่งของ เครื่องเรือน เครื่องใช้แก่ราษฎรชาวเกาะสีชังด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประพาสเกาะสีชังในปีพ.ศ. ๒๔๓๖ แต่ประทับแรมอยู่ในระยะเวลาอันสั้น
เนื่องจากฝรั่งเศสเป็นฝ่ายได้เปรียบและประกาศปิดอ่าวไทยพร้อมทั้งส่งทหารฝรั่งเศสหมวดหนึ่งขึ้นยึดเกาะสีชัง
(เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒) ทำให้การก่อสร้างพระที่นั่งต่างๆ
ที่กำลังดำเนินการอยู่ต้องหยุดชะงักลง
นับจากเหตุการณ์ดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานฤดูร้อนไปประทับที่พระจุฑาธุชราชฐานบนเกาะสีชังอีกเลยจนสิ้นรัชกาล
เพียงแต่ทรงแวะเสด็จขึ้นประพาสบ้าง ในคราวที่เสด็จพระราชดำเนินประพาสทางทะเล
บรรดาพระที่นั่ง และ พระตำหนักต่างๆที่สร้างด้วยเครื่องไม้นั้น
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รื้อถอนและนำไปสร้างในที่อื่น
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำไปสร้างที่ใดบ้าง
ส่วนพระราชฐานบนเกาะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กรมทหารเรือซึ่งมีส่วนร่วมในการก่อสร้างนับตั้งแต่แรกเริ่มให้เป็นผู้ดูแลรักษา
แต่เนื่องจากกรมทหารเรือวางกำลังได้เพียงส่วนน้อย
จึงโปรดเกล้าฯให้ตำรวจภูธรซึ่งตั้งขึ้น ณ เกาะสีชังทำการรักษาแทน
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมด์จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประพาสหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์รกร้างอยู่
จึงโปรดเกล้าฯให้รื้อมาสร้างใหม่ที่พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ
แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ
แต่นั้นมาเป็นอันเลิกพระราชวังที่เกาะสีชัง
การบูรณะพระจุฑาธุชราชฐาน
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ รัฐบาลในขณะนั้นจึงมีมติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ามาดูแลพื้นที่อันเป็นที่ดินราชพัสดุนี้
เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยจึงวางผังแม่บทการใช้ที่ดิน
ปรับปรุงพื้นที่บางส่วน
และใช้ที่ดินส่วนที่อยู่นอกเขตพระราชฐานเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล
พร้อมทั้งดำเนินการศึกษารวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของอาคารที่ยังหลงเหลืออยู่ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๒
เมื่อเกิดโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ( Eastern Seaboard ) ขึ้น
รัฐบาลในขณะนั้นได้ประกาศให้เกาะสีชังเป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ จึงได้มีการศึกษาและวางแผนพัฒนาพื้นที่พระจุฑาธุชราชฐานขึ้น
ซึ่งนำไปสู่การประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และการอนุรักษ์ฟื้นฟู
โดยกรมศิลปากรในเวลาต่อมา จนแล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๕๓๙ ต่อมาในปีพ.ศ.๒๕๔๖
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมหลากหลายเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาส วันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครบ 150 ปี
จึงมีความดำริว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสพิเศษและเหมาะสมยิ่งในการบูรณะพระจุฑาธุชราชฐานให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยงดงามอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเปิดเป็น
พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน และจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารต่างๆ
เผยแพร่ความรู้แก่อนุชนชาวเกาะสีชังและประชาชนทั่วไป เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ทรงเห็นความสำคัญของโครงการดังกล่าวจึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนประเดิมในการบูรณะเรือน
ผ่องศรี อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุช ราชฐาน ในวันที่ 12 มกราคม 2547 ปัจจุบันพื้นที่ที่เป็นสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกนิสิตอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนพื้นที่ที่เป็นโบราณสถานอยู่ในความดูแลของสำนักบริหารงานศิลปวัฒนธรรม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภูมิศาสตร์
สภาพที่ตั้งและภูมิประเทศ
เกาะสีชังอยู่ที่พิกัดเส้นรุ้ง
13 องศา ถึง 12 องศาเหนือและระหว่างเส้นแวง 10 องศา 48 ลิปดา ถึง 100 องศา 51 ลิปดา
ตั้งอยู่ตะวันออกบริเวณก้นอ่าวไทยตรงกันข้ามกับอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ห่างจากจังหวัดชลบุรี ประมาณ 35 กม.อยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ
117 กม. และห่างจากศรีราชาประมาณ 12 กม. รวมเนื้อที่ประมาณ 7.9 ตารางกิโลเมตร
ประชาชนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสีชัง
เกาะสีชังมีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะกลางทะเลประกอบด้วย 9 เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา โขดหิน
ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
มีพื้นที่ราบทำการเพาะปลูกได้ประมาณ 500ไร่ ไม่มีแม่น้ำลำธารแลหนองบึง
บริเวณจุดสูงสุดคือบริเวณยอดเขาซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสีชังมีความสูงประมาณ 192 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เกาะท้ายตาหมื่น ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะสีชัง
เกาะขามใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสีชัง
เกาะขามน้อย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสีชัง
เกาะปรง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสีชัง
เกาะร้านดอกไม้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสีชัง
เกาะสัมปันยื้อ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสีชัง
เกาะยายท้าว ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะสีชัง
เกาะค้างคาว ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะสีชัง
อาณาเขตติดต่อกับอำเภอและจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
ทิศเหนือ-จดทะเลเขตอำเภอเมือง
จังหวัดสมุทรปราการ
ทิศใต้-จดทะเลเขตอำเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี
ทิศตะวันออก-จดทะเลเขตอำเภอศรีราชา
จังหวัดชลบุรี
ทิศตะวันตก-จดทะเลเขตอำเภอบ้านแหลม
จังหวัดเพชรบุรี
การปกครองส่วนภูมิภาค
เขตการปกครองของเกาะสีชังในอดีตจนถึงปัจจุบันเดิมเกาะสีชังขี้นกับอำเภอเมืองสมุทรปราการ
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 ได้โอนมาขึ้นกับอำเภอศรีราชา
จังหวัดชลบุรี
ก่อนเป็นเขตสุขาบาลเกาะสีชังอยู่ในการปกครองของกิ่งอำเภอเกาะสีชังและได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อวันที่
4 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 และได้เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลตำบลเกาะสีชังเมื่อ
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 โดยผลของพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาลเมื่อ
พ.ศ. 2542 อำเภอเกาะสีชังอำเภอเกาะสีชังมี 1 ตำบล 7 หมู่บ้าน แยกเป็นเขตเทศบาลจำนวน 7 ชุมชน
การปกครองส่วนท้องถิ่น
อำเภอเกาะสีชังประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
1 แห่ง คือ
เทศบาลตำบลเกาะสีชัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าเทววงษ์ทั้งตำบล
สถานที่สำคัญหน่วยงานราชการ
1.ที่ทำการปกครองอำเภอเกาะสีชัง
2.ฝ่ายทะเบียนและบัตรเกาะสีชัง
3.สำนักงานสัสดีเกาะสีชัง
4.โรงพยาบาลเกาะสีชัง
5.เทศบาลเกาะสีชัง
6.สำนักงานสาธารณสุขเกาะสีชัง
7.สถานีตำรวจภูธรเกาะสีชัง
8.สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาะสีชัง
9.สำนักงานศุลกากรเกาะสีชัง
10.สำนักงานที่ดินเกาะสีชัง
11.สำนักงานสรรพากรเกาะสีชัง
12.สำนักงานพัฒนาชุมชนเกาะสีชัง
13.สถานีอุตุนิยมวิทยาเกาะสีชัง
14.งานตำรวจน้ำเกาะสีชัง
15.ด่านที่ทอดเรือภายนอกสีชัง
16.สำนักงานท้องถิ่นเกาะสีชัง
17.สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำและศูนย์ฝึกนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
18.โรงเรียนเกาะสีชัง
19.โรงเรียนจุฑาทิศเทววงษ์เกาะสีชัง
20.ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนเกาะสีชัง
เจ้าของบล็อก
นาย อภิรักษ์ ไตรเเก้ว
ทำขึ้นเพื่อ:ให้ได้รู้ถึงประวัติเเละความเป็นมาของเกาะสีชัง